ผิวของคุณกำลังขาด คอลลาเจน อยู่หรือเปล่า? หากพูดถึงคอลลาเจน หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีอยู่แล้วว่ามันมีหน้าที่สร้างความแข็งแรง และเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่อวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย อีกทั้งยังมีหน้าที่อีกมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของความสวยความงาม อาหารผิวอย่างคอลลาเจน ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ใครหลายๆ คนให้ความสนใจ แต่ก่อนที่เราจะนำเข้าสู่ร่างกาย คุณต้องทำความรู้จักคอลลาเจนให้ดีก่อนว่ามันคืออะไร? และแท้จริงแล้วมันทำหน้าที่ช่วยอะไรกันแน่?
คำว่า Collagen มาจากคำภาษากรีกว่า “kólla” ซึ่งแปลว่า “กาว” ดังนั้น คอลลาเจนจึงมีคุณสมบัติในการยึดเกาะสิ่งต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันคล้ายกาว
คอลลาเจน ช่วยอะไร?
คอลลาเจน คือ โปรตีนสำคัญชนิดหนึ่งที่ร่างกายมนุษย์ทุกคนสามารถสร้างขึ้นได้เองตามธรรมชาติ ทำหน้าที่เป็นเส้นใยช่วยยึดเกาะเซลล์ส่วนต่างๆ ในร่างกายให้ติดกัน สร้างความแข็งแรง และเพิ่มความยืดหยุ่น โดยเฉพาะในกระดูก ข้อกระดูก กระดูกอ่อน กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น รวมถึงผิวหนัง ซึ่งคอยพยุงให้ผิวหนังยืดหยุ่น เต่งตึง กระชับ และเรียบเนียน นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการสร้างเส้นใยของหลอดเลือด ฟัน และเล็บ อีกด้วย
ประเภทของ คอลลาเจน
คอลลาเจนมีหลายชนิด แตกต่างกันไปตามหน้าที่ในร่างกาย แต่ที่สำคัญ และควรรู้จักมีทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่ Type I, II, และ III
1. คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Collagen Type I)
เป็นคอลลาเจนที่มีปริมาณมากที่สุด สามารถพบได้มากกว่าร้อยละ 90 ในร่างกาย ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ช่วยไม่ให้เนื้อเยื่อฉีกขาด พบได้ในบริเวณผิวหนัง เส้นผม กระดูก เนื้อเยื่อ และผนังหลอดเลือด
2. คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Collagen Type II)
หรือเรียกอีกอย่างนึงว่าคอลลาเจนสำหรับกระดูก เพราะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ให้มีจำนวนมากขึ้น จึงสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอบริเวณข้อต่อได้ มักมีความยืดหยุ่นมากกว่าชนิดที่ 1 พบได้ในบริเวณกระดูกอ่อนหรือข้อต่อ เช่น ส่วนประกอบของหู จมูก หลอดลม และกระดูกซี่โครง
3. คอลลาเจนชนิดที่ 3 (Collagen Type III)
พบได้ในบริเวณเดียวกันกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 มีบทบาทสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อ ลดอาการบาดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อ พบได้ในบริเวณผิวหนัง กล้ามเนื้อ และหลอดเลือด
ถ้าผิวขาดคอลลาเจนจะเกิดอะไรขึ้น?
1. ผิวแห้งหยาบกร้าน
การที่ผิวขาดคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวแห้งหยาบกร้าน ขาดความชุ่มชื้น ใต้ตาจะคล้ำ บวมหย่อนคล้อย มากกว่าคนที่ผิวไม่ขาดคอลลาเจน
2. ผิวหย่อนคล้อย
เมื่อผิวขาดคอลลาเจน ความตึงกระชับก็จะน้อยลง ส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อย เกิดริ้วรอยบริเวณต่างๆ บนใบหน้า เช่น หน้าผาก ร่องแก้ม ตีนกา รอบดวงตา เป็นต้น ซึ่งริ้วรอยนี้ก็ยังทำให้เราดูแก่กว่าวัยด้วย
3. ผิวหมองคล้ำ
เมื่อผิวขาดคอลลาเจน จะทำให้ผิวหมองคล้ำได้ง่ายเมื่อเจอแสงแดด และยังเกิดฝ้า กระได้ง่ายขึ้น รวมถึงสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยสิวก็จะหายช้าอีกด้วย
4. เซลลูไลท์บนผิว
เกิดเซลลูไลท์บนผิว เพราะคอลลาเจนมีส่วนควบคุมเซลลูไลท์ในร่างกาย เมื่อร่างกายขาดคอลลาเจน ผิวจะสูญเสียความยืดหยุ่น ไขมันจึงดันตัวออกมาจนเกิดเป็นผิวเปลือกส้ม คือจะขรุขระ ไม่เรียบเนียน
5. รอยสิวหายช้า
เมื่อเผลอไปแกะหรือเกาสิว จะทำให้เกิดรอย และส่งผลให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียน เห็นรูขุมขนกว้างขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหน้าแก้ม
6. แต่งหน้าไม่ค่อยติด
คอลลาเจนเปรียบเสมือนกาวในผิวหนังที่ช่วยยึดเกาะเครื่องสำอาง เมื่อคอลลาเจนลดน้อยลง จึงส่งผลให้เครื่องสำอางไม่ติดทน ต้องเติมเครื่องสำอางบ่อยขึ้น
สาเหตุที่ทำให้ผิวขาดคอลลาเจน
1. อายุที่เพิ่มขึ้น
จะสังเกตได้ว่าผิวของเด็กหรือผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี จะมีความยืดหยุ่นสูง เปล่งปลั่ง เต่งตึง ดึงแล้วเด้งกลับในทันที เป็นเพราะว่าใต้ผิวหนังมีคอลลาเจนอยู่จำนวนมาก แต่เมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนลดลง 1% ต่อปี
หมายความว่ายิ่งมีอายุมากขึ้นประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจนของร่างกายก็จะลดลง ผิวขาดความชุ่มชื้น ไม่กระชับ เกิดเป็นริ้วรอย ความเหี่ยวย่น และเมื่ออายุเข้าสู่เลข 4 ประสิทธิภาพในการผลิตคอลลาเจนจะลดลงเหลือเพียง 30% เท่านั้น
2. พักผ่อนไม่เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ มีผลทำให้คอลลาเจนบนผิวลดลง ทำให้ผิวเกิดริ้วรอย สีผิวไม่สม่ำเสมอ ผิวไม่สดใส และใบหน้าโทรม หมองคล้ำ ดังนั้นควรนอนพักผ่อนอย่างน้อย 7-9 ชั่วโมงขึ้นไป จะช่วยให้ผิวได้พักผ่อนและฟื้นฟูผิวจากความเครียดและมลภาวะต่างๆ ได้
โดยการนอนที่ส่งผลดีต่อผิวพรรณคือควรนอนไม่เกิน 4 ทุ่ม เพราะฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นตัวนำให้ฮอร์โมนตัวอื่นๆ เช่น โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) หรือฮอร์โมนที่คอยควบคุมการเจริญเติบโต และควบคุมการทำงานของร่างกาย จะหลั่งออกมาในช่วงเวลากลางคืน ประมาณ 4-5 ทุ่ม หากเรานอนอย่างเพียงพอ จะทำให้ร่างกายได้พักผ่อน และซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่ ผิวจะเต่งตึง และเปล่งปลั่ง
3. รับประทานน้ำตาลมากเกินไป
การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไป จะส่งผลให้ร่างกายของเราเผาผลาญน้ำตาลออกมาได้ไม่หมด และเกิดการสะสมจนเข้าไปทำลายโครงสร้างคอลลาเจน และอิลาสติน นอกจากจะทำให้ผิวสูญเสียคอลลาเจนแล้ว ยังทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจนผิวหนังขยายตัว และเกิดผิวหย่อนคล้อยเมื่อน้ำหนักตัวลดลงอีกด้วย
4. รังสี UV จากแสงแดด
ในแสงแดดจะมีรังสี UV ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระ โดยสารอนุมูลอิสระนี้จะเข้าไปทำลายคอลลาเจนภายใต้ผิว เราจะสังเกตได้ว่าคนที่ต้องเจอแสงแดดบ่อยๆ จะมีสภาพผิวที่แห้งเหี่ยว และหยาบกร้านกว่าคนทั่วไป
5. มลพิษทางอากาศ และฝุ่นละออง
จากสภาพอากาศในปัจจุบันเต็มไปด้วยมลพิษมากมาย ไม่ว่าจะเป็นมลพิษจากฝุ่นละออง PM 2.5 ขี้เถ้า เขม่าควัน ล่องลอยอยู่ในอากาศเป็นจำนวนมาก ซึ่งฝุ่นควันเหล่านี้จะเข้าไปทำลายเซลล์ผิวหนังกำพร้า ซึ่งก่อให้เกิดการระคายเคือง และการอักเสบของผิวหนังได้
6. การดื่มแอลกอฮอล์
เมื่อดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปในร่างกาย จะกระตุ้นให้เกิดการขับของเหลวอย่างน้ำและสารอาหารสำคัญในร่างกายออกมาในรูปแบบของปัสสาวะ ส่งผลให้ผิวมีน้ำน้อยลง ขาดความชุ่มชื้น ทำให้ผิวแห้งเหี่ยว ดูโทรมมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น หลังดื่มแอลกอฮอล์ ควรดื่มน้ำสะอาดตามในปริมาณมาก เพื่อดีท็อกซ์ร่างกายให้ขับแอลกอฮอล์ออกมาให้เยอะที่สุด
7. การสูบบุหรี่
เนื่องจากสารนิโคติน (Nicotine) ในบุหรี่จะเข้าไปขัดขว้างระบบไหลเวียนเลือด ทำให้เส้นเลือดตีบ เลือดไหลเวียนได้ช้าลง และคอยทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวขาดความกระชับ เต่งตึง ผิวแห้งกร้าน ไม่ชุ่มชื้น และทำให้ผิวที่เคยเปล่งปลั่งกลับหมองคล้ำลง
เพิ่มคอลลาเจนให้ผิวจากอะไรได้บ้าง?
เราสามารถรักษาคอลลาเจนที่มีอยู่ และเพิ่มคอลลาเจนได้ด้วยการเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินซีสูง ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอการสลายของคอลลาเจน และยังกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้นด้วย
รวมถึงอาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินเอ ช่วยส่งเสริมให้มีการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ส่วนสำคัญทำให้ผิวยืดหยุ่น และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การทานโปรตีนให้เพียงพอ เพราะคอลลาเจนคือโปรตีนชนิดหนึ่งในร่างกาย โดยร่างกายจะนำโปรตีนนี้ไปย่อยเป็นกรดอะมิโน เพื่อนำไปสร้างคอลลาเจนต่อไป
การทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการเพิ่มคอลลาเจนให้กับผิวที่ง่าย และสะดวกสบาย และเราควรเลือกคอลลาเจนยี่ห้อไหนดี? แนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Boom Collagen ตัวช่วยดูแลผิว และสุขภาพ ช่วยส่งเสริมให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากคอลลาเจนอย่างสูงสุด นอกจากนี้ Boom Collagen ยังอยู่ในรูปแบบผงละลายน้ำ ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่าย สะดวกในการดื่ม และพกพาอีกด้วย
คอลลาเจนควรกินตอนไหน ได้ผลดีที่สุด?
- กินคอลลาเจนตอนเช้า ขณะท้องว่าง เพื่อช่วยระบบย่อยอาหารและลำไส้
- กินคอลลาเจนก่อนมื้ออาหาร 30 นาที เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- กินคอลลาเจนก่อนนอน เพื่อช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย
- กินคอลลาเจนก่อนออกกำลังกาย 1 ชั่วโมง เพื่อช่วยลดอาการปวดข้อ เอ็น และข้อต่อ
สำหรับใครที่กำลังสงสัยว่า คอลลาเจน ช่วยอะไร? คอลลาเจนควรกินตอนไหน? และผิวของคุณกำลังเผชิญกับการขาดคอลลาเจนอยู่หรือไม่? แนะนำให้ศึกษาข้อมูล และลองสังเกตอาการต่างๆ ที่เราได้กล่าวไปข้างต้น เพราะอาการเหล่านี้…ล้วนเป็นสัญญาณเตือน! เมื่อผิวของคุณขาดคอลลาเจนที่สามารถสังเกตได้