ในยุคปัจจุบัน ความเครียดเป็นปัจจัยที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย แต่กลุ่มที่พบได้บ่อยที่สุดคือคนวัยทำงานที่ต้องรับมือกับภาระงานที่หนักอึ้ง จนทำให้เกิดความเครียดสะสม และเมื่อเราไม่สามารถจัดการกับความเครียดนี้ได้ อาจนำไปสู่ภาวะ เครียดลงกระเพาะ นั่นเอง
เครียดลงกระเพาะ คืออะไร?
ภาวะเครียดลงกระเพาะ หรือที่บางครั้งเราเรียกว่า “โรคกระเพาะเนื่องจากความเครียด” เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อความเครียดมีผลกระทบต่อระบบย่อยอาหาร โดยความเครียดสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการย่อยอาหาร ซึ่งนำไปสู่การเกิดอาการไม่สบายท้องต่างๆ ได้
เครียดลงกระเพาะ เกิดจากอะไร?
ภาวะเครียดลงกระเพาะ เกิดจากการที่ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ เนื่องจากความเครียดสะสมที่มากเกินไป ทำให้กระเพาะอาหาร และลำไส้ทำงานอย่างไม่สมดุล จนเกิดอาการปวดท้อง ท้องอืด และคลื่นไส้ได้ นอกจากนี้ การกินอาหารไม่เป็นเวลา ดื่มแอลกอฮอล์ หรือกินอาหารที่มีกรดสูง ก็เป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้ง่ายขึ้นเช่นกัน ซึ่งสามารถสรุปปัจจัยที่เกี่ยวข้องได้ ดังนี้
1. ความเครียดสะสม
ความเครียดที่เกิดจากการทำงาน ภาระหน้าที่ หรือปัญหาที่ต้องเจอในชีวิตประจำวัน ทำให้ระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System) ถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น ส่งผลให้เยื่อบุกระเพาะอาหารระคายเคือง และเกิดการอักเสบได้
2. พฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม
การกินอาหารไม่เป็นเวลา การอดอาหาร หรือกินอาหารที่มีกรดสูง เช่น เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ อาหารรสจัด หรืออาหารที่มีไขมันสูง สามารถทำให้กระเพาะอาหารเกิดการระคายเคือง และอักเสบได้
3. การใช้ยาบางชนิด
ยาแก้ปวดบางชนิด เช่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) หรือยาแอสไพริน อาจทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารระคายเคือง และอักเสบได้ ถ้าใช้เป็นเวลานาน หรือในปริมาณมาก
4. การพักผ่อนไม่เพียงพอ
การนอนไม่หลับ หรือนอนน้อย ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูระบบต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ รวมถึงระบบย่อยอาหาร ทำให้การหลั่งกรด และเอนไซม์ในกระเพาะอาหารผิดปกติ
5. การใช้ชีวิตที่มีความตึงเครียดสูง
การทำงานหนักเกินไป การไม่มีเวลาพักผ่อนเพียงพอ หรือการมีวิถีชีวิตที่มีความตึงเครียดสูง ทำให้ร่างกายต้องทำงานหนัก และไม่สามารถผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้กระเพาะอาหารเกิดการทำงานผิดปกติ
6. การสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์
การสูบบุหรี่ทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารเกิดการระคายเคือง และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป จะทำให้การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น และทำให้กระเพาะอาหารอักเสบได้
สัญญาณเตือนเครียดลงกระเพาะ
อาการของโรค เครียดลงกระเพาะ มักเริ่มจากความรู้สึกไม่สบายท้อง ปวดท้อง แสบท้อง หรือท้องอืด นอกจากนี้ยังมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และรู้สึกอ่อนเพลียร่วมด้วย เมื่ออาการเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยๆ และไม่หายไปเอง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และเข้ารับคำแนะนำเพื่อการรักษาต่อไป
เครียดลงกระเพาะ อาการเป็นอย่างไร?
ภาวะเครียดลงกระเพาะ หรือโรคกระเพาะเนื่องจากความเครียด มักแสดงอาการที่ชัดเจน และหลากหลาย ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงปัญหาในระบบย่อยอาหารที่เกิดจากความเครียดสะสมได้ ดังนี้
อาการหลักที่พบบ่อย
- ปวดท้อง บริเวณกระเพาะอาหาร (ท้องบน) ซึ่งมักจะมีลักษณะปวดแสบ หรือปวดจุกแน่น ซึ่งอาการปวดอาจรุนแรงขึ้นหลังกินอาหาร หรือเวลาที่ท้องว่าง
- ท้องอืด รู้สึกว่าท้องบวม และอึดอัด มีแก๊สในท้องมากขึ้น ทำให้รู้สึกท้องอืด และท้องเฟ้อ
- คลื่นไส้ และอาเจียน รู้สึกคลื่นไส้บ่อยๆ และบางครั้งอาจมีอาการอาเจียน ซึ่งอาการคลื่นไส้มักเกิดขึ้นหลังจากที่เครียดมากๆ หรือท้องว่าง
- รู้สึกแสบท้อง มีอาการแสบท้อง หรือจุกเสียดบริเวณท้องบน ซึ่งอาการแสบท้องมักเกิดขึ้นหลังกินอาหาร หรือหลังจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีกรดสูง
- อาการอ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยล้า และไม่มีพลังงาน อาจมีอาการนอนไม่หลับ หรือนอนหลับไม่เต็มอิ่มร่วมด้วย
อาการเสริมที่อาจพบ
- เบื่ออาหาร ความเครียดอาจทำให้รู้สึกไม่อยากกินอาหาร ซึ่งนำไปสู่การเป็นโรคกระเพาะอาหารได้
- น้ำหนักลด เมื่อมีอาการเบื่ออาหาร และอาเจียนบ่อยๆ อาจทำให้น้ำหนักลดลงได้
- ท้องเสีย หรือท้องผูก ความเครียดสามารถส่งผลต่อระบบขับถ่าย ทำให้เกิดอาการท้องเสีย หรือท้องผูกได้
- ปวดศีรษะ และเวียนหัว ความเครียดที่สะสมอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หรือเวียนหัวร่วมด้วย
วิธีแก้ และการดูแลรักษาเครียดลงกระเพาะ
1. การจัดการความเครียด
ฝึกเทคนิคการทำสมาธิ หายใจเข้าออกลึกๆ หรือโยคะ เพื่อช่วยลดความเครียด และส่งเสริมการผ่อนคลายจิตใจ รวมถึงให้จัดการเวลาทำงาน และเวลาส่วนตัวอย่างสมดุล เพื่อลดภาระงานที่ทำให้เครียด หรือหาสิ่งที่ทำให้รู้สึกสนุก และผ่อนคลาย เช่น การอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือการทำงานอดิเรก
การกินวิตามินที่มีส่วนช่วยคลายเครียดอย่าง Boom D-NAX ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะ Boom D-NAX เป็นวิตามินเม็ดฟู่แบบละลายน้ำ ที่รวมวิตามินถึง 10 ชนิด ช่วยเสริมสร้างพลังงาน บรรเทาความเครียด และอาการอ่อนล้า อ่อนเพลีย
2. การปรับพฤติกรรมการกิน
รับกินอาหารเป็นมื้อเล็กๆ แต่บ่อยขึ้น เพื่อไม่ให้กระเพาะอาหารทำงานหนักเกินไป และลดการหลั่งของกรดในกระเพาะ ให้เลือกอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวกล้อง ผักต้ม ปลา และผลไม้ที่ไม่เป็นกรดจัด เช่น กล้วย แอปเปิ้ล และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดสูง เช่น อาหารรสจัด อาหารมัน เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และแอลกอฮอล์
เลือกผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหารที่มีประโยชน์ อย่าง iCON MEAL ตัวช่วยในการควบคุมพลังงานที่ได้รับใน 1 มื้อ อย่างเหมาะสม สะดวก ไม่ต้องคํานวณ ลดการได้รับพลังงานส่วนเกินจากอาหาร โดยไม่ต้องอดอาหาร เพียง 2 ซอง ต่อ 1 มื้อ ให้สารอาหารครบ 5 หมู่ โปรตีนสูงเทียบเท่าเนื้อสัตว์ แถมใยอาหารยังสูง ไม่ทําให้ท้องอืดอีกด้วย
หรือเลือก Room Fiberry เป็นตัวช่วยเรื่องระบบขับถ่าย ที่อุดมไปด้วยสารสกัดจากผัก และผลไม้ 7 สี ช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น บรรเทาอาการท้องผูก ช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย และช่วยให้หลับสบายขึ้น
3. การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น การเดินเร็ว วิ่งเบาๆ ปั่นจักรยาน หรือการออกกำลังกายแบบโยคะ ก็สามารถช่วยลดความเครียด และเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมได้ ซึ่งการทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น เดินเล่นในสวนสาธารณะ หรือทำกิจกรรมที่ได้สัมผัสธรรมชาติ ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และทำให้เรารู้สึกสดชื่น
4. การพักผ่อนให้เพียงพอ
ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน และฟื้นฟูระบบต่างๆ ควรสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการนอน ปรับห้องนอนให้เงียบสงบ มืด และมีอุณหภูมิที่เหมาะสม เพื่อการนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพ
5. การปรึกษาแพทย์
หากอาการไม่ดีขึ้น หรือมีความรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัย และการรักษาที่เหมาะสม กินยาตามคำสั่งแพทย์ เช่น ยาลดกรด หรือยาควบคุมการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
การรับมือกับภาวะ เครียดลงกระเพาะ ต้องใช้วิธีการที่หลากหลาย และต้องทำอย่างสม่ำเสมอ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต และพฤติกรรมการกิน รวมถึงการจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม จะช่วยให้เราสามารถรับมือกับภาวะนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเข้ารับคำแนะนำ และการรักษาที่ถูกต้อง